วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บัวสมุนไพร


บัว @ รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์


บัว เป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ บางชนิดมีก้านใบบัว
บัวจัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี บัวหลวงชอบขึ้นในน้ำจืดออกดอกตลอดปี ชอบน้ำสะอาด อยู่ในน้ำลึกพอสมควร ถิ่นกำเนิดของบัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมือนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ สีขาวอมเขียวหรือสีเทาชมพู ร่วงง่าย กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนหลายสี
รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์ รากบัว (Nelumbo nucifera Gaertn) เป็นเหง้าใต้ดินลักษณะเป็นปล้องใหญ่และยาว มีสีขาวงาช้าง ถ้าตัดตามขวางจะเป็นรูกลม เมื่อแก่จะนำมาต้มหรือทำยา สรรพคุณ : มีรสหวานมัน แก้อาการอ่อนเพลีย ชูกำลัง ช่วยให้สดชื่น ช่วยเจริญอาหาร ดับกระหาย แก้เสมหะ น้ำลายเหนียว แก้ไอ ดับพิษร้อนให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยลดความดันโลหิต แก้ปวดบวม มีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหาร ร่างกายขาดความสมดุล ผู้อยู่ในวัยทองมีอาการนอนไม่หลับก็สามารถช่วยได้ รากบัวใช้ทำกินได้ทั้งอาหารคาว-หวาน จะต้มกินน้ำหรือคั้นดื่มสดๆ ก็ได้ตามชอบ
ต้มกิน เป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป คือเอารากบัวมาฝานเป็นแว่นมากน้อยตามต้องการ ใส่น้ำพอท่วม ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที แล้วรินดื่มแต่น้ำ วันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว อาจเติมน้ำผึ้งได้เพื่อให้รสชาติดื่มง่ายขึ้น แต่ไม่ควรเติมน้ำตาลทราย เพราะยิ่งทำให้ร้อนใน สูตรนี้ใช้ดื่มดับกระหายได้ดี
คั้นเอาน้ำกิน รากบัวสด ๆ มีฤทธิ์แก้ร้อนในได้ดีกว่าน้ำต้มรากบัว วิธีกินให้เอารากมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำกิน ครั้งละ 3-4 ช้อนแกง วันละ 3-4 ครั้ง หากมีเสมหะเหนียวติดคอดื่มน้ำรากบัวสดสูตร 2-3 อาการจะค่อยทุเลาลง เพราะรสชาติเฝื่อนของรากบัวมีสรรพคุณในการสลายพิษ ช่วยละลายเสมหะได้ นอกจากนี้รากบัวยังนำมาทำอาหารคาว อาทิ ต้มกระดูกหมู ก็ได้ประโยชน์และรสชาติที่แสนอร่อยไม่น้อย ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านกระเพาะไม่ควรรับประทานน้ำรากบัวที่คั้นสดโดยตรง แต่ให้เติมน้ำเพิ่มประมาณ 30 เท่า จากนั้นนำไปต้มจนระเหยเหลือ 20 เท่าจากปริมาณเดิม ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากทุกๆ 30 นาที แทน

ประโยชน์จากการดื่มน้ำรากบัว
การดื่มน้ำรากบัวนั้นให้ประโยชน์มากมายแก่รางกาย เพราะในน้ำรากบัวนั้นมีสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายๆอย่างเช่น ฟลาโวนอยด์,โฟลีฟีนนอล ช่วยในการต่อต้านมะเร็ง , มีวิตามิน และเกลือแร่ น้ำรากบัวจึงถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง น้ำรากบัวที่ดี จะต้องมี สีออกสีเหลืองๆ จางๆ ใสๆ มีรสฝาด เผ็ด ร้อน ไม่มีกลิ่น
  • แก้ร้อนใน
  • บำรุงเลือด
  • ทำให้สดชื่น
  • ช่วยการไหลเวียนของโลหิต
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ดับพิษร้อน แก้พิษไข้
  • แก้ท้องร่วง
  • บำรุงสมอง
  • ชูกำลัง
  • แก้อาการอ่อนเพลีย
  • ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย
  • ลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ

รากบัวตัมน้ำตาล ส่วนผสม
1. รากบัวพร้อมต้ม 500 กรัม (ล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ)
2. น้ำตาลทรายแดง 500 กรัม
3. น้ำตาลทรายขาว 500 กรัม
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำเปล่าสำหรับต้ม 1500 กรัม

วิธีทำ
1. นำน้ำใส่หม้อ กะน้ำให้ท่วมรากบัวเล็กน้อย ต้มน้ำให้เดือดนำรากบัวลงต้ม จนรากบัวสุก ประมาณ 30 นาที แล้ว เทน้ำทิ้ง
2. ใส่น้ำ 1500 กรัม ต้มน้ำให้เดือดอีกรอบ ใส่รากบัว ใส่น้ำตาลแดง น้ำตาลทรายขาว เกลือ ลดเป็นไฟอ่อนเคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชม. หรือจนกระทั่งน้ำเริ่มงวด และรากบัวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อย (ไม่รอเปลี่ยนสีก็ได้ รากบัวสุกแล้วก็ทานได้ )
3. ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น แล้วนำเสริฟ เป็นเมนูน้ำแข็งใส หรือ ใส่ในไอติมก็ได้

น้ำรากบัว / รากบัวเชื่อม ส่วนผสม
1. รากบัวพร้อมต้ม 500 กรัม (ล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ)
2. น้ำตาลทรายแดง 500 กรัม
3. น้ำตาลทรายขาว 500 กรัม
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำเปล่าสำหรับต้ม 1500 กรัม
 * หรือน้ำตาลชนิดเดียวก็ได้ ให้ได้ 1 กก. ทรายแดงจะหอมกว่า *

วิธีทำ น้ำรากบัว
1. ใส่น้ำ 1500 กรัม ต้มน้ำให้เดือด ใส่รากบัวลงไปต้มจนสุก แล้วปิดไฟ
2. ยกลง กรอกเอาแต่น้ำออกมาแยกไว้ นำเนื้อรากบัวเก็บพักไว้ แล้วนำน้ำที่แยกไว้ มาต้มต่อใส่น้ำตาลแดง น้ำตาลทรายขาว เกลือ ให้ละลายเข้ากันดี แล้วปิดไฟ รอเย็น
3. ใส่น้ำแข็ง เติมน้ำรากบัว พร้อมเสริฟ

วิธีทำ เชื่อมรากบัว
น้ำตาลทรายขาว 250 กรัม + น้ำตาลทราลแดง 250 กรัม
เติมน้ำลงไปในหม้อ นำรากบัวที่ต้มแล้วจากการต้มน้ำรากบัวมา แล้วใส่น้ำแค่พอท่วมรากบัว ต้มต่อให้เดือด เคี่ยวจนรากบัวนิ่ม แล้วใส่น้ำตาลทรายขาว+ น้ำตาลทรายแดงค่ะ เคี่ยวต่อจนน้ำตาลเข้าเนื้อประมาณ 1 ชั่วโมง สีรากบัวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เราก็จะได้รากบัวเชื่อม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://drink-good.blogspot.com/2011/09/4-5-1.html