วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บัวสมุนไพร


บัว @ รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์


บัว เป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ บางชนิดมีก้านใบบัว
บัวจัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี บัวหลวงชอบขึ้นในน้ำจืดออกดอกตลอดปี ชอบน้ำสะอาด อยู่ในน้ำลึกพอสมควร ถิ่นกำเนิดของบัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมือนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ สีขาวอมเขียวหรือสีเทาชมพู ร่วงง่าย กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนหลายสี
รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์ รากบัว (Nelumbo nucifera Gaertn) เป็นเหง้าใต้ดินลักษณะเป็นปล้องใหญ่และยาว มีสีขาวงาช้าง ถ้าตัดตามขวางจะเป็นรูกลม เมื่อแก่จะนำมาต้มหรือทำยา สรรพคุณ : มีรสหวานมัน แก้อาการอ่อนเพลีย ชูกำลัง ช่วยให้สดชื่น ช่วยเจริญอาหาร ดับกระหาย แก้เสมหะ น้ำลายเหนียว แก้ไอ ดับพิษร้อนให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยลดความดันโลหิต แก้ปวดบวม มีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหาร ร่างกายขาดความสมดุล ผู้อยู่ในวัยทองมีอาการนอนไม่หลับก็สามารถช่วยได้ รากบัวใช้ทำกินได้ทั้งอาหารคาว-หวาน จะต้มกินน้ำหรือคั้นดื่มสดๆ ก็ได้ตามชอบ
ต้มกิน เป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป คือเอารากบัวมาฝานเป็นแว่นมากน้อยตามต้องการ ใส่น้ำพอท่วม ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที แล้วรินดื่มแต่น้ำ วันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว อาจเติมน้ำผึ้งได้เพื่อให้รสชาติดื่มง่ายขึ้น แต่ไม่ควรเติมน้ำตาลทราย เพราะยิ่งทำให้ร้อนใน สูตรนี้ใช้ดื่มดับกระหายได้ดี
คั้นเอาน้ำกิน รากบัวสด ๆ มีฤทธิ์แก้ร้อนในได้ดีกว่าน้ำต้มรากบัว วิธีกินให้เอารากมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำกิน ครั้งละ 3-4 ช้อนแกง วันละ 3-4 ครั้ง หากมีเสมหะเหนียวติดคอดื่มน้ำรากบัวสดสูตร 2-3 อาการจะค่อยทุเลาลง เพราะรสชาติเฝื่อนของรากบัวมีสรรพคุณในการสลายพิษ ช่วยละลายเสมหะได้ นอกจากนี้รากบัวยังนำมาทำอาหารคาว อาทิ ต้มกระดูกหมู ก็ได้ประโยชน์และรสชาติที่แสนอร่อยไม่น้อย ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านกระเพาะไม่ควรรับประทานน้ำรากบัวที่คั้นสดโดยตรง แต่ให้เติมน้ำเพิ่มประมาณ 30 เท่า จากนั้นนำไปต้มจนระเหยเหลือ 20 เท่าจากปริมาณเดิม ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากทุกๆ 30 นาที แทน

ประโยชน์จากการดื่มน้ำรากบัว
การดื่มน้ำรากบัวนั้นให้ประโยชน์มากมายแก่รางกาย เพราะในน้ำรากบัวนั้นมีสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายๆอย่างเช่น ฟลาโวนอยด์,โฟลีฟีนนอล ช่วยในการต่อต้านมะเร็ง , มีวิตามิน และเกลือแร่ น้ำรากบัวจึงถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง น้ำรากบัวที่ดี จะต้องมี สีออกสีเหลืองๆ จางๆ ใสๆ มีรสฝาด เผ็ด ร้อน ไม่มีกลิ่น
  • แก้ร้อนใน
  • บำรุงเลือด
  • ทำให้สดชื่น
  • ช่วยการไหลเวียนของโลหิต
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ดับพิษร้อน แก้พิษไข้
  • แก้ท้องร่วง
  • บำรุงสมอง
  • ชูกำลัง
  • แก้อาการอ่อนเพลีย
  • ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย
  • ลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ

รากบัวตัมน้ำตาล ส่วนผสม
1. รากบัวพร้อมต้ม 500 กรัม (ล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ)
2. น้ำตาลทรายแดง 500 กรัม
3. น้ำตาลทรายขาว 500 กรัม
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำเปล่าสำหรับต้ม 1500 กรัม

วิธีทำ
1. นำน้ำใส่หม้อ กะน้ำให้ท่วมรากบัวเล็กน้อย ต้มน้ำให้เดือดนำรากบัวลงต้ม จนรากบัวสุก ประมาณ 30 นาที แล้ว เทน้ำทิ้ง
2. ใส่น้ำ 1500 กรัม ต้มน้ำให้เดือดอีกรอบ ใส่รากบัว ใส่น้ำตาลแดง น้ำตาลทรายขาว เกลือ ลดเป็นไฟอ่อนเคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชม. หรือจนกระทั่งน้ำเริ่มงวด และรากบัวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อย (ไม่รอเปลี่ยนสีก็ได้ รากบัวสุกแล้วก็ทานได้ )
3. ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น แล้วนำเสริฟ เป็นเมนูน้ำแข็งใส หรือ ใส่ในไอติมก็ได้

น้ำรากบัว / รากบัวเชื่อม ส่วนผสม
1. รากบัวพร้อมต้ม 500 กรัม (ล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ)
2. น้ำตาลทรายแดง 500 กรัม
3. น้ำตาลทรายขาว 500 กรัม
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำเปล่าสำหรับต้ม 1500 กรัม
 * หรือน้ำตาลชนิดเดียวก็ได้ ให้ได้ 1 กก. ทรายแดงจะหอมกว่า *

วิธีทำ น้ำรากบัว
1. ใส่น้ำ 1500 กรัม ต้มน้ำให้เดือด ใส่รากบัวลงไปต้มจนสุก แล้วปิดไฟ
2. ยกลง กรอกเอาแต่น้ำออกมาแยกไว้ นำเนื้อรากบัวเก็บพักไว้ แล้วนำน้ำที่แยกไว้ มาต้มต่อใส่น้ำตาลแดง น้ำตาลทรายขาว เกลือ ให้ละลายเข้ากันดี แล้วปิดไฟ รอเย็น
3. ใส่น้ำแข็ง เติมน้ำรากบัว พร้อมเสริฟ

วิธีทำ เชื่อมรากบัว
น้ำตาลทรายขาว 250 กรัม + น้ำตาลทราลแดง 250 กรัม
เติมน้ำลงไปในหม้อ นำรากบัวที่ต้มแล้วจากการต้มน้ำรากบัวมา แล้วใส่น้ำแค่พอท่วมรากบัว ต้มต่อให้เดือด เคี่ยวจนรากบัวนิ่ม แล้วใส่น้ำตาลทรายขาว+ น้ำตาลทรายแดงค่ะ เคี่ยวต่อจนน้ำตาลเข้าเนื้อประมาณ 1 ชั่วโมง สีรากบัวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เราก็จะได้รากบัวเชื่อม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://drink-good.blogspot.com/2011/09/4-5-1.html

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

สายพันธุ์อินทผลัม



อินทผาลัม




สายพันธุ์เด่นๆ และมีชื่อเสียงจากตะวันออกกลาง มาให้ท่านได้เลือกซื้อ
เพื่อปลูกไว้บริโภค หรือเป็นพืชหลักๆ ของสวน

นางเอก  คาลาส  เพราะหลงเสน่ห์กลิ่นหอมๆ เวลาที่อินทผลัมสายพันธุ์นี้สุกใหม่ๆ บวกกับรสหวานๆ และมีกรอบๆ บ้างเวลาสุกครึ่งลูก ใครได้ชิมคงจะหลงเสน่ห์แน่นอน
 นางรองคือโคไนซี ผลสีแดง เวลาสุกรสหวานฉ่ำ  กลิ่นหอมอ่อนๆ ถ้าทำผลแห้งด้วยการตากแดดจะมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำผึ้ง  นี่ล่ะเสน่ห์ของเขา
คาลาส  khalas  ว่า นางเอก ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน(ทิ้งอยู่ในตู้เย็น) เธอก็ยังรักษาคุณค่าในตัวเองได้ดีเยี่ยม
นางอิจฉา  ฮัมรี่ (Homri) เธอจัดเป็นสาวสวย แถมยังมีผิวพันธุ์สีแดง  เห็นครั้งแรก ทานครั้งแรก วางไม่ลง
ตัวพระเอกคือเจ้า  Medjool  ที่ทานแล้ว ไม่มีใครบอกว่าไม่อร่อย  ตามกระแสบาฮี  Barhi พันธุ์สุดโปรดของเพื่อนสมาชิกและคนไทย รสชาตินี้ สำหรับคนกลัวอ้วน






*1. พันธุ์คาลาส (khalas) จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ที่มีต้นกำเนิดสายพันธุ์ มาจากประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นพันธุ์ที่ทานผลสุกตั้งแต่สุกครึ่งผล มีผลสีเหลือง ลักษณะผลยาว รสชาติจะหวานนุ่ม มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ทีโดดเด่น
เป็นพันธุ์อินทผาลัม ที่ชาวอาหรับ ยกให้เป็นพันธุ์ที่อร่อยที่สุด ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน(ทิ้งอยู่ในตู้เย็น) เธอก็ยังรักษาคุณค่าในตัวเองได้ดีเยี่ยม  
มีต้นกำเนิดมาจากประเทศซาอุดิอาระเบีย และมีชื่อเสียงอย่างมาก ในแถบเมือง AlQaseem และ AlKharj  ซึ่งคำว่า Khalas มีความหมายว่า "แก่นแท้หรือเต้นแบบที่สมบูรณ์" สายพันธุ์ Khalas มีรูปทรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความหอมเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว เนื้อนุ่มลักษณะผลเรียวยาวรูปทรงไข่ ในผลสุกแห้งขนาดเฉลี่ยขนาดเฉลี่ย 15 x 35 มิลลิเมตร มีน้ำหนัก 18-20 กรัมต่อผล เฉลี่ยประมาณ  50-60 ผลต่อกิโลกรัมต่อผลดิบ ผิวบางเรียบค่อนข้างโปร่งใส จะอร่อยมาก มีความเหนี่ยวนุ่มหนึบ เป็นคาราเมลเมื่อรับประทานในระยะสุกงอม(สุกครึ่งลูก) อีกทั้งยังรับประทานในขั้นตอน Tamer(ตากแห้ง) ได้ดีอีกด้วย สายพันธุ์Khalas เมื่อโตเต็มที่สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 150-200 กิโลกรัมของสดต่อต้นต่อปี ในแถบอาหรับมักจะขาย Khalas เป็นที่นิยมรับประทานอันดับต้นๆ แม้ในไทยอาจยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก




*2. พันธุ์โคไนซี่, คูไนซี่ (Khunaizi, Khonaizi) เป็นอินทผาลัมพันธุ์สีแดงเข้ม มีรสชาติหวาน ทานผลเริ่มสุก จะอร่อยมาก ไม่มีเสี้ยน เป็นผลขนาดกลาง ไม่บอกแหล่งกำเนิดสายพันธุ์ที่แน่ชัด ว่าเป็นประเทศใดในภุมิภาคตะวันออกกลางแห่งนี้ แต่ปลุกมากที่สุดในประเทศโอมาน และคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นพันธุ์ที่ มีความทนต่อสภาพความร้อน แล้งได้ดีเยี่ยม
เนื้อนุ่มลักษณะผลเรียวยาวรูปทรงไข่ ในผลสุกแห้งขนาดเฉลี่ยขนาดเฉลี่ย 15 x 35 มิลลิเมตร มีน้ำหนัก 18-20 กรัมต่อผล เฉลี่ยประมาณ  50-60 ผลต่อกิโลกรัมต่อผลดิบ ผิวบางเรียบค่อนข้างโปร่งใส จะอร่อยมาก มีความเหนี่ยวนุ่มหนึบ เป็นคาราเมลเมื่อรับประทานในระยะสุกงอม(สุกครึ่งลูก) อีกทั้งยังรับประทานในขั้นตอน Tamer(ตากแห้ง) ได้ดีอีกด้วย สายพันธุ์Khalas เมื่อโตเต็มที่สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 150-200 กิโลกรัมของสดต่อต้นต่อปี ในแถบอาหรับมักจะขาย Khalas เป็นที่นิยมรับประทานอันดับต้นๆ แม้ในไทยอาจยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก




3. พันธุ์บาฮี (Barhi) เป็นอินทผาลัม ที่ทานผลสดแบบกรอบๆ แล้วมีรสชาติหวาน ไม่ฝาด เพียงพันธุ์เดียวในโลก ลักษณะผล จะเป็นสีเหลืองนวลๆ ผลจะมีขนาดปานกลาง ไปจนขนาดเล็ก ลักษณะผลจะกลมๆ พันธุ์นี้ทานผลสดได้อร่อยกว่าผลสุก ประเทศ Tunisia(ตูนีเซีย) เป็นประเทศที่มีการส่งออกอินทผาลัมบาฮี เป็นอันดับหนึ่งของโลก
กล่าวกันว่าพันธุ์ Barhi เป็น"แอบเปิ้ลแห่งตะวันออกกลาง"  ในห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงนิยมนำพันธุ์บาร์ฮีมาจัดจำหน่ายในช่วงพิธีถือศีลอดของชาวมุสลิมในเขตตะวันออกกลาง  รวมทั้งในประเทศไทยด้วยอินทผลัมพันธุ์นี้มีลักษณะผลทรงไข่อ้วนกลมมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ในผลอ่อนจะมีสีเขียวเข้ม  ก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนจนกลายเป็นสีเหลืองทองไปจนกระทั่งผลแก่จัดและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนสีเหลืองมีเนื้อนิ่มและในที่สุด  จะนิยมรับประทานแบบผลสดมากกว่า
ซึ่งจะมีลักษณะเนื้อที่กรุบกรอบ รสชาติหวาน แต่ในคำแรกจะมีรสชาติฝาดเล็กน้อยและจะค่อยๆหวานขึ้นในคำต่อๆไป จนกระทั่งในที่สุดจะไม่รู้สึกถึงรสฝาดนั้นอีกเลย  แต่เมื่อทิ้งไว้ให้สุกงอมเนื้อจะนิ่มคล้ายลูกพลับ รสหวานอร่อยอย่างมีเอกลักษณ์ นิยมเก็บเกี่ยวและจัดจำหน่ายแบบเป็นทะลายเพื่อให้ขายได้ราคาดีส่วนผลที่หลุดร่วงจากจากขั้วเป็นผลเดี่ยวนั้น จะจำหน่ายอีกราคาซึ่งจะมีราคาถูกว่าแบบผลที่ยังติดก้านเป็นทะลาย  บาร์ฮีผลสดมีมีน้ำหนักประมาณ 15-20 กรัมต่อผลเฉลี่ยประมาณ 50-60 ผลต่อกิโลกรัม ให้ผลดกถึง 200-400 กิโลกรัมต่อต้นลำต้นมีลักษณะหนา และแข็งแรง ในธรรมชาติแม้ว่าจะพบการแทงหน่อจากหน่อจากพ่อแม่แต่จะมีไม่เกิน 6-8 หน่อต่อต้น เท่านั้น บาร์ฮีผลสดที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 500-600 บาทต่อกิโลกรัม มีวางขายตามห้างร้านชั้นนำทั่วไป



*4. พันธุ์ฮัมรี่ (Hamri) เป็นพันธุ์ผลสีแดงเข้ม เนื้อเยอะ มีรสชาติหวานปานกลางและเนื้อนุ่ม และมีกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว แหล่งต้นกำเนิดของพันธุ์นี้คือ ประเทศอิยปต์ และประเทศโอมาน (Egypt, 0man)




5. พันธุ์ฮาโลววี (Halawi/Halawy) อินทผาลัมพันธุ์นี้ มีความหวานมากๆ ผลจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ มีต้นกำเนิดมาจาก ดินแดนแห่งอารยะธรรมรุ่นแรกๆของมนุษย์โลก เมโสโปเตเมีย(Mesopotamia) ดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างซีเรียกับอิรัก(Syria,Iraq)เป็นพันธุ์ที่ทำเพื่อการส่งออกเป็นสินค้าหลักเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นพันธุ์อินทผาลัมทีขึ้นชื่อมากในแถบนี้


6. พันธุ์ชิบีบี (shebebi) ลักษณะผลกลม ขนาดปานกลางค่อนข้างใหญ่ มีสีเหลืองปานกลาง มีเนื้อเยอะ เมล็ดกลม รสชาติหวานปานกลาง และมีเสี้ยนน้อย พันธุ์นี้จะออกผลผลิตในช่วงกลางฤดูกาล ต้นกำเนิดของสายพันธุ์นี้คือ ซาอุดิอารเบีย


7. พันธุ์อัมเบอร์ (Amber) เป็นอินทผาลัมที่มีขนาดผลใหญ่ สีจะออกแดงส้ม เนื้อเยอะ ที่สำคัญมีรสชาติที่หวานและเสี้ยนน้อย ต้นกำเนิดของสายพันธุ์นี้ จะมีมากที่ประเทศโอมานและซาอุดิอารเบีย และสาธารณรัฐอาหรับอิมิเรต จะผลผลิตจะออกมาสู้ตลาดในช่วงกก่อนปลายฤดู



SHEISHI: เป็นสายพันธุ์ที่มีชื่อเสียง จากประเทศซาอุดิอารเบีย จะสุกกลางฤดู เป็นที่รู้กันว่าผลสีเขียวของมันจะกลายเป็นสีน้ำตาลในระยะที่จะสุก แต่ยังคงเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในขั้นตอนที่ทำให้แห้ง มีผลขนาดใหญ่และให้ผลผลิตสูง เนื้อในนุ่มสามารถนำมาบริโภคในทั้งสามขั้นตอนของการสุกคือ แก่จัด(กึ่งสุก)สุกงอม  และระยะทำแห้ง ชิชิเป็นอินทผลัมที่มีลักษณะรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดใหญ่สีเขียวและผิวนุ่ม แต่ก็มีผลไม้ที่ดีมีอัตราการปรับตัวที่ดีมากสำหรับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ..เป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่งที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย ..นิยมบริโภคในระยะแก่จัดหรือกึ่งสุก (Rutab) .. นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียและอิหร่าน ทั้งถือว่าอินทผลัมที่มีราคาสูงอีกด้วย



Nawader เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของประเทศ U.A.E  ถูกเรียกขานขนานนามว่าเป็น
 “ซุปเปอร์คาลาส (SuperKhalas)”  ซึ่งได้รับการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์โดยท่าน สุลต่าน Bin Khalifa Al Habtoor จนได้คุณภาพที่โดดเด่นของทั้งรสชาติ เนื้อผลไม้  รูปร่าง สีสัน ให้ผลผลิตไว และสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี







สายพันธุ์คาดราวี่ (Khadrawy)
  Khadawy เป็นสายพันธุ์ที่มีความสำคัญมากของประเทศอีรักรวมทั้งซาอุดิอาระเบียด้วย  อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมพัฒนาในรัฐแคลิฟอเนียและรัฐแอริโซน่าของสหรัฐอเมริการวมถึงประเทศอิสราเอลด้วย   Khadawy เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม  เป็นที่ต้องการของตลาดในภูมิภาคอาหรับ  อีกทั้งสีสันน้ำตาลเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของมันยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในตลาดแถบอเมริกาอีกด้วย ซึ่ง   Khadawy ยังเป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อฝนและความชื้นได้ดีอีกสายพันธุ์หนึ่งอีกด้วย
  สายพันธุ์ Khadawy นั้นจะออกผลผลิตในช่วงต้นฤดู  ซี่ง Khadrawy ถูกเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์อินทผลัมที่มีความนุ่มละมุนที่สุดก็ว่าได้  มีน้ำตาลที่บริสุทธิ์ละลายและดูดซึมได้ตั้งแต่อยู่ในปาก  ให้ความหวานและความนุ่มละมุนเป็นอย่างมาก  เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเป็นส่วนผสมของสมูทตี้  ซอส  ซุปหรืออาหารอื่นที่ต้องการกลิ่น สี รสชาติ และเนื้อสัมผัสอันนุ่มละมุนอันเป็นเอกลักษณ์






อินทผลัมสายพันธุ์ซุกการี (Sukkari)
คำว่า “ซุกการี” ในภาษาอาหรับนั้นมี ความหมายเป็นภาษาไทยว่า หวาน อินทผลัมพันธุ์ซุกการีเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของอินทผลัมที่ชาวอาหรับนิยมมารับประทาน และได้รับการขนานนามว่า เป็นอินทผลัมสำหรับพระราชา ลักษณะผลมีขนาดกลาง รูปทรงกรวย ผลอ่อน มีสีเขียว แล้วจะค่อยๆ เป็นสีเหลืองเมื่อผลแก่ขึ้น ผลแห้งจะมีสีน้ำตาลอ่อน ผิวค่อนข้างแข็งเมื่อเก็บไว้นานๆ ขนาดผลเฉลี่ยอยู่ที่ 15 X 20 มิลลิเมตร มีน้ำหนัก  8-12 กรัมต่อผล เฉลี่ยราวๆ 100 ผลต่อกิโลกรัม สามารถเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิปกติได้นาน แต่จะสูญเสียความนุ่มของเนื้อไปด้วย แม้ผลจะแห้งสนิท และมีความแข็งมากแต่ยังคงให้รสชาติหวานจับใจอย่างมีเอกลักษณ์ โดยมีประเทศอิรักเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่
          ในท้องตลาดส่วนใหญ่อินทผลัมพันธุ์ซุกการี จะให้สัมผัสที่กรุบกรอบค่อนไปทางแข็ง มีรสหวานจัด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขบเคี้ยวแล้ว น่าจะชื่นชอบอินทผลัมพันธุ์นี้ แต่ในผลยังใหม่ และยังไม่แห้งสนิท จะมีลักษณะเนื้อที่ละเอียดอ่อนนุ่มแตกต่างจากตอนแห้งอย่างเชิง นิยมจำหน่ายแบบแยกเป็นผล เพราะผลผลิตจะแก่ และสุกไม่พร้อมกัน สามารถซื้อหาในท้องตลาดได้ ในราคากิโลกรัมละ 500 บาท




สายพันธุ์ซาไก (Sagai / saggai)
          Sagai เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศซาอุดิอาระเบีย  และภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียลำต้นมีความแข็งแรงให้ผลผลิตสูง  ลักษณะผลมีขนาดยาว  เมือถึงช่วงระยะแก่จัดจะมีผลสีเหลืองทอง  รสชาติหวานมีเส้นใยน้อย  ผู้คนส่วนใหญ่จะนิยมบริโภค ผลซาไกในข่วงทำตากแห้ง  ซึงซาไกนั้นก็สามารถบริโภคได้ทั้งระยะสุกและระยะการทำให้แห้ง  สายพันธุ์ Sagai เอกลักษณ์โดดเด่นตรงที่มีลักษณะของวงแหวนงาช้างที่บริเวณฐานของผล   อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมรมแปรรูปอาหารซึ่งงายต่อการบรรจุภัณฑ์ หีบห่อ  รวมถึงขั้นตอนกระบวนการอื่นๆ (เช่น  การสอดไส้ถั่วต่างๆ หรือการเคลือบช็อกโกแลต ) นี่เป็นเหตุผมที่ทำให้ สายพันธุ์ Sagai  อยู่ในรูปลักษณ์เป็นของขวัญของฝากที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในอากาศทั่วไปและในเทศการพิเศษต่างๆ  อีกทั้งยังสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานมากอีกด้วย




Ghannami เป็นสายพันธุ์ที่อินทผลัมตัวผู้  ที่ถือได้ว่าดีที่สุดเพราะได้มาจากการคัดเลือกและทดสอบจากสายพันธุ์ของอินทผลัมตันตัวผู้กว่า 200 สายพันธุ์  ให้ปริมาณเกสรที่มีมีชีวิตพร้อมผสมพันธุ์มากว่า 95 %  เกสรของสายพันธุ์ Ghannami มีอนุภาคขนาดเล็กเหมะสำหรับการผสมกับเกสรตัวเมียได้ทุกสายพันธุ์  ติดผลง่ายผลดก และออกเกสรในช่วงต้นฤดูเหมาะสมกับการเป็นพ่อพันธุ์ของสวนอินทผลัมมากที่สุด

เมื่อนำเกสรของสายพันธุ์ Ghannami มาผสมกับเกสรของต้นตัวเมียจะทำให้เกิดการสุกของผลไม้ไนช่วงต้นฤดูกาล (สุกต้นฤดูจะมีราคาและความต้องการของตลาดมากกว่าช่วงกลางและปลายฤดู )ทั้งยังทำให้ผลผลิตมีขนาดใหญ่ เนื้อมาก ค่าความฝาดน้อย (แทนนิน)

การปลูก

5x5 =     64 ต้น                  6x6 =     45 ต้น                  7x7 =     33 ต้น                  8x8 =     25 ต้น

4x4 แต่ปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่าจะปลูกได้เยอะกว่า 4x4 แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประมาณ 15%  ไร่หนึ่งปลูกได้ 7 แถว แถวละ 16 ต้นรวมแล้วหนึ่งไร่ปลุกได้ 112 ต้น โดยทุกๆ  ต้นจะห่างกัน 4 เมตรทุกทิศทาง แต่ระยะห่างระหว่างแถวจะไม่ใช่4เมตร ประมาณสามเมตรกว่าๆ